Hybrid Working การทำงานในรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องทำงานภายในออฟฟิศเพียงที่เดียว แต่ทุกที่สามารถเป็นสถานที่ทำงานได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศ บ้าน หรือร้านกาแฟ
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทั้งในไทยและต่างประเทศ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการทำงานขององค์กรต่างๆ องค์กรต่างปรับมาใช้โมเดลนี้กันมากขึ้น บวกกับตัวเร่งจากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้มีการทำงานที่ Flexible มากขึ้น และมีการนำเทคโนโลยีออนไลน์ในการประชุมมาช่วย
ดังนั้นโมเดลการทำงานแบบไฮบริดที่ได้รับการจัดการและวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ จะส่งผลดีต่อพนักงาน เมื่อพนักงานมีความสุข Productivity ก็เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจได้รับประโยชน์มากมาย
และนี่คือ 5 เหตุผลที่องค์กรต้องปรับตัว
1. พนักงานมี Productivityมากขึ้น

นโยบายการทำงานแบบสมัยก่อน องค์กรมักกำหนดเวลาทำงานเข้าและออกจากสำนักงาน เพื่อให้พนักงานเข้าออฟฟิศเป๊ะๆ ไม่มีการยืดหยุ่น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป องค์กรปรับตัวเป็นกาารทำงานไฮบริดมากขึ้น โดยมีการกำหนดนโยบายการทำงานแบบ Flexible Working Policy พนักงานสามารถมีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศ ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ที่พนักงานสามารถทำงานได้เต็มที่ เช่น ตำแหน่ง Developer เข้ามาประชุมทีมแค่ 2 วัน ในออฟฟิศ และทำงานอยู่ที่บ้าน 3 วันต่อสัปดาห์ ถือเป็นการทำงาน
ที่เน้น Employee Experience ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์การทำงานให้เกิด Productivity มากที่สุด
2. ลดความเสี่ยง Great Resignation

แม้การทำงานของโลกจะเปลี่ยนแปลง แต่มีหลายองค์กรที่ยังคงยึดติดนโยบายการทำงาน วัฒนธรรมองค์กรแบบเดิม บังคับพนักงานให้เข้าออฟฟิศโดยมองข้ามเรื่องความปลอดภัย
หรือพนักงานหลายคนค้นพบว่า Productivity ในการทำงานของตนเอง สามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อ
Work form Home หรือสลับวันเข้าออฟฟิศ แต่องค์กรไม่สามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมเพื่อรองรับในด้านนี้ได้
จึงเป็นสาเหตุที่พนักงานหลายคนมองหางานใหม่ในองค์กรที่มีนโยบายการทำงานแบบไฮบริด ที่ Flexible มากขึ้น รวมถึงองค์กรที่ให้ความสำคัญกับด้านสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานเช่นเดียวกัน
ไม่เพียงแต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่องค์กรทั่วโลกกำลังประสบกับ Great Resignation การลาออกครั้งใหญ่ของพนักงาน
องค์กรควรปรับตัวหรือมองหารูปแบบใหม่ๆ ที่เข้ากับการทำงานของคนเก่งๆ หรือคนยุคใหม่ อย่างเช่น
Gen Z เป็นต้น เพื่อป้องกันการสูญเสียพนักงานเก่งๆ และเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเวลาสำหรับการรับพนักงาน
3. ดึงดูดพนักงานใหม่เข้าทำงาน

องค์กรที่มีการปรับตัวเป็นการทำงานแบบไฮบริด จะช่วยให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวได้อย่างดี ช่วยให้พนักงานมี Work life balance มีอิสระในการทำงานมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่มองหา
องค์กรจะสามารถดึงดูดพนักงานเก่งๆ คนรุ่นใหม่ที่มีผลงานให้อยากเข้ามาทำงาน รวมถึงสามารถลด
ช่องว่างที่ไม่สามารถจ้างพนักงานที่อยู่ไกลออฟฟิศได้ เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของออฟฟิศที่อยู่ไกลไป
ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนไม่อยากมาสมัครงาน
4. เพิ่ม Safety และความมั่นใจของพนักงาน

ถึงแม้สถานการณ์ COVID-19 จะเริ่มดีขึ้น ตัวเลขคนในประเทศที่ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น
แต่องค์กรต้องยอมรับว่าพนักงานมีความกังวลเป็นอย่างมากเมื่อต้องกลับเข้าทำงานในออฟฟิศที่ไม่ได้มี
การออกแบบสถานที่ทำงานแบบ Social Distancing พนักงานในออฟฟิศยังคงหนาแน่น และยังคงไม่มีการทำงานแบบไฮบริด
องค์กรที่มีการนำนโยบายการทำงานไฮบริด และ HR สามารถกำหนด Flexible Working Policy เพื่อวางแผนการทำงาน กำหนดจำนวนคนที่เข้าออฟฟิศไม่ให้หนาแน่นเกินไปได้ รวมถึงนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้จัดการลดจำนวนคนที่เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศได้ และเทคโนโลยีเช่นการลดการสัมผัส ก็จะช่วยให้พนักงานมั่นใจในเพิ่มความปลอดภัยในออฟฟิศ ถึงแม้พนักงานจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่ผลลัพธ์ของงานเองก็ยังมี Productivity มากขึ้น
5. ลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ในระยะยาว

เมื่อองค์กรมีนโยบายการทำงานแบบ Hybrid Working องค์กรเองก็ต้องมาวางแผนการจัดการพื้นที่ให้รองรับกับการทำงานด้วยเช่นกัน รวมถึงการนำเทคโนโลยีด้านการจัดการและบริหารพื้นที่เข้ามาช่วย เพื่อให้การทำงานแบบไฮบริดเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น
Workplace Plus แพลตฟอร์มบริหารคนและพื้นที่ ประกอบไปด้วยหลากหลายโซลูชัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบจองห้องประชุม ระบบจองโต๊ะส่วนกลาง ระบบ Smart Locker หรือระบบบันทึกผู้มาติดต่อ
ทั้งหมดนี้องค์กรมองว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว ด้วย Data ที่ได้จากการใช้งานซึ่งเป็นข้อมูลที่หลายองค์กรยังไม่เคยเก็บมาก่อน จะทำให้องค์กรรู้ทันทีว่าพื้นที่บริเวณไหนจะถูกเพิ่มหรือปรับลดได้เพื่อให้พอดีกับจำนวนพนักงานที่ต้องเข้าออฟฟิศ ซึ่งค่าเช่าพื้นที่ก็เป็นต้นทุนที่ธุรกิจมีค่าใช้มากเป็นอันดับสองที่องค์กรต้องเสียเป็นประจำทุกปี
การปรับพื้นที่สำนักงานแบบไฮบริด พื้นที่สำนักงานจะถูกปรับเป็น Adaptive Workplace มากขึ้น โต๊ะทำงานแบบ Fixed Desk จะไม่จำเป็นสำหรับพนักงานบางตำแหน่งที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน มีพื้นที่ส่วนกลาง Hot Desk เพื่อให้พนักงานมี Collaborative สร้างสรรค์ไอเดียดีๆ ร่วมกัน รวมถึงมีพื้นส่วนตัวสำหรับพนักงานที่ต้องการงานที่ใช้สมาธิ
จะเห็นได้ว่าองค์กรที่มีการปรับตัวและเริ่มวางแผนเป็น “Hybrid Working” และนำเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการพนักงานและพื้นที่เข้ามาช่วย เพื่อรองรับการทำงานยุคใหม่นั้น จะส่งผลดีต่อตัวพนักงาน และสะท้อนออกมาเป็นผลงานที่ให้ Productivity กับองค์กรมากขึ้น ดึงดูดพนักงานใหม่ๆ มากความสามารถเข้ามา
รวมทีม รวมถึงทำให้องค์กรสามารถวิเคราะห์การใช้งานพื้นที่ได้ละเอียดจากข้อมูลที่องค์กรได้มา
ถือเป็นการลงทุนในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุดสำหรับองค์กรยุคใหม่
สำหรับองค์กรที่สนใจต้องการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารพื้นที่ทำงานและพนักงานอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการทำงานแบบ Hybrid Working
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Fanpage Exzy Workplace Plus
หรือติดต่อได้ที่
Tel : 096-9595-193
Email : Contact@exzy.me
Inbox : m.me/exzyworkplaceplus